ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

การจัดประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ที่ผ่านไปนั้น สิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. คำนึงถึงมากที่สุดประเด็นหนึ่งคือคุณภาพการให้บริการ 3G ภายหลังการได้รับใบอนุญาตไปแล้ว

ปัจจุบันต้องเรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมอย่าง 850 MHz 900 MHz และ 1800 MHz ไปสู่ 3G บนคลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz บรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ค่ายที่ชนะการประมูลต่างพยายามวางโครงข่ายระบบ 3G อย่างเต็มที่เพื่อการให้บริการแก่ประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นในระยะเริ่มแรกนี้ก็ยังคงพบปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ 3G ประเภทเสียงอยู่มากพอสมควร ปัญหาที่มีการร้องเรียนจากผู้ใช้บริการมากที่สุดคือการโทรติดยาก ไม่มีสัญญาณ สายหลุดบ่อย เครือข่ายไม่ว่าง เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความสะดวก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในช่วงตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2556 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 มีผู้ร้องเรียนต่อ กสทช. ทั้งหมด 1,465 เรื่อง พื้นที่ที่พบปัญหาร้องเรียนมากสุดในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตยานนาวา เขตบางโพงพาง เขตพระราม 3 เขตบางรักและเขตท่าพระ

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่าจากปัญหาการร้องเรียนดังกล่าว กสทช. ได้ดำเนินการออกตรวจวัดคุณภาพการให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่และในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด โดยให้ดำเนินการตรวจวัดคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการตรวจสอบสำหรับในเขตกรุงเทพมหานครระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมาพบว่าการให้บริการประเภทเสียงบนเครือข่าย 2G มีอัตราการโทรออกสำเร็จและอัตราสายหลุดของผู้ให้บริการทุกค่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยอัตราสายหลุดของทุกค่ายนั้นเป็น 0 ส่วนระดับความแรงสัญญาณและคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่การให้บริการประเภทเสียงบนเครือข่าย 3G แบบ HSPA หรือ 3G บนคลื่นความถี่เดิมนั้น แม้จะพบว่าการให้บริการทุกเครือข่ายมีอัตราสายหลุดมากกว่าระบบ 2G คือมีตั้งแต่ร้อยละ 0.65 ไปจนถึงร้อยละ 3.95 และคุณภาพสัญญาณไม่ค่อยดี แต่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่ง กสทช. ได้ย้ำให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องรักษาคุณภาพบริการบนโครงข่ายเดิมให้ดีด้วยและต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานโดยเร็ว

ทั้งนี้ตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทเสียงได้กำหนดคุณภาพของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าต้องมีอัตราส่วนการเรียกสำเร็จ หรือ Successful Call Ratio ต่อจำนวนการเรียกทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 สำหรับการโทรภายในโครงข่ายของผู้ประกอบการเดียวกัน และไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 สำหรับการโทรข้ามโครงข่ายต่างผู้ประกอบการ ในกรณีสายหลุดนั้นประกาศฯ กำหนดให้มีอัตราส่วนของจำนวนสายหลุดต่อจำนวนการเรียกใช้ทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมงได้ไม่เกินร้อยละ 2 สำหรับการโทรภายในโครงข่ายของผู้ประกอบการเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตามประกาศฯ ของ กสทช. ฉบับนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีอัตราส่วนของการสายหลุดระหว่างร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 2 เท่านั้น แต่บางค่ายยังคงมีอัตราส่วนการสายหลุดที่เกินกว่าเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด จึงจำเป็นที่จะจะต้องปรับปรุงคุณภาพสัญญาณการให้บริการ เพราะแม้ว่าสาเหตุหลักของปัญหาจะมาจากการปรับปรุงโครงข่ายเพื่อดำเนินการเข้าสู่ระบบ 3G บนคลื่น 2.1 GHz ที่อาจทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ได้ก็ตาม แต่บรรดาผู้ประกอบการควรใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้กระทบประชาชนผู้บริโภคโดยอาจเลือกดำเนินการในช่วงเวลาที่มีการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่น้อยที่สุดควบคู่ไปกับการเร่งเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อโอนย้ายผู้ใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมไปยัง 3G บนคลื่นความถี่ใหม่อันจะทำให้สัญญาณคุณภาพดีขึ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประทศไทยในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยอาจดูตัวอย่างได้จากประเทศญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการ 4G ด้วยเทคโนโลยี LTE คู่ไปกับ 3G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ระบบ 4G ของประเทศญี่ปุ่นจะอยู่บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ใช้แถบความถี่กว้าง 10 MHz ซึ่งเป็นปริมาณแถบคลื่นความถี่ขั้นต่ำสำหรับเทคโนโลยี LTE โดยทำงานควบคู่กับเทคโนโลยี 3G เพื่อให้มีบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะเดียวกันด้วยรูปแบบธุรกิจแบบ MVNO ที่เปิดให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองเข้ามาเช่าใช้โครงข่ายเพื่อไปเปิดให้บริการในหลากหลายรูปแบบภายใต้
แบรนด์อื่นนั้นก็มีส่วนช่วยทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ทั้งรูปแบบบริการและแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย

สำหรับประเทศไทยแม้ผู้ประกอบการจะยังไม่มีนโยบายในการทำ 4G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz อย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่นก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้วศักยภาพของแต่ละย่านความถี่ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญกับความเร็วของบริการข้อมูล (Data) แต่ความเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณแถบความถี่ที่นำมาใช้ที่ต้องมีความกว้าง 10 MHz ขึ้นไปเท่านั้น

แม้หลาย ๆ คนจะมุ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี 3G เป็นหลักแต่ในขณะเดียวกันก็ควรเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงข่าย LTE เนื่องจากเทคโนโลยี 3G เน้นใช้งาน Data แบบ Downlink ขณะที่ LTE เข้ามาแก้จุดอ่อนเรื่องการใช้งาน Uplink ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการใช้งานSocial Network รูปแบบต่างๆ ที่ทำให้โครงข่าย 3G หนาแน่นขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ดังนั้นการลงทุนโครงข่ายที่รองรับทั้ง 3G และ 4G ไว้แต่เนิ่นๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์สำหรับอนาคตอันใกล้นี้และยังช่วยลดปัญหาคุณภาพสัญญาณที่อาจเกิดขึ้นด้วย

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร