www.lawyer-thailand.com

ในคอลัมน์นี้เราจะมาตามติดความเคลื่อนไหวในการประมูลทีวีดิจิตอลที่มีประเด็นน่าสนใจและเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ โดยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้จัดให้มีการ
ทดลองประมูลคลื่นความถี่หรือ Pre-Mock Auction เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทช่องบริการธุรกิจทั้ง 24 ช่องขึ้น

ขั้นตอนในการทดลองมีการกำหนดเหมือนสถาณการณ์จริง เช่น การกำหนดวงเงินให้กับผู้เข้าร่วมประมูล กำหนดเวลาที่ใช้ รวมถึงกฎเกณฑ์ในการประมูลต่างๆ ยกเว้นแต่เพียงระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการทดลองประมูลในครั้งนี้เป็นโปรแกรมที่มีการจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับการทดสอบหรือทดลองเท่านั้น แต่จะไม่นำไปใช้ในการประมูลจริง โดยในระหว่างการทดสอบประมูลได้เกิดเหตุซอฟต์แวร์ล่มแต่ก็สามารถกู้ระบบกลับมาได้ในเวลาต่อมา ซึ่งในฐานะของประชาชนผู้บริโภคทำให้เห็นว่าการทดลองประมูลในครั้งนี้มีประโยชน์หลายประการ นอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมประมูลได้รับรู้กับเข้าใจกฎเกณฑ์การประมูลรวมถึงได้ลองปฏิบัติจริงแล้ว ยังทำให้ทราบถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบซอฟแวร์ก่อนการประมูลจริงอีกด้วย ซึ่ง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. ในฐานะประธาน กสท. ได้ชี้แจงว่าระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จริงที่จะใช้ในการประมูลนั้นจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาจากผลที่ได้จากการทดลองและคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ในช่วงเดือนสิงหาคมก่อนการประมูลในเดือนกันยายนปีนี้

ทั้งนี้การประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจทั้ง 24 ช่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทช่องใบอนุญาตตามสูตร 3-7-7-7 ได้แก่ ช่องรายการเด็กจำนวน 3 ช่อง ช่องรายการข่าวจำนวน 7 ช่อง ช่องรายการทั่วไประบบความคมชัดมาตรฐาน (SD) จำนวน 7 ช่องและช่องรายการทั่วไปออกอากาศในระบบความคมชัดสูง (HD) จำนวน 7 ช่อง รวมไปถึงการกำหนดเพดานการถือครองช่องรายการของผู้เข้าประมูลทีวีดิจิตอล 1 ราย สามารถถือครองช่องรายการสูงสุดได้ไม่เกิน 3 ช่องรายการภายใต้เงื่อนไขที่ว่าห้ามผู้ประกอบการ 1 รายถือครองช่องรายการประเภท HD ควบกับช่องรายการข่าว ซึ่งแม้ว่าในขณะนี้ข้อกำหนดเรื่องเพดานและเงื่อนไขการประมูลดังกล่าวจะยังคงได้รับการโต้แย้งจากผู้ประกอบการบางส่วนที่ไม่ต้องการให้มีการจำกัดเพดานจำนวนใบอนุญาตรวมถึงการห้ามถือครองช่องรายการข่าวคู่กับช่องรายการ HD แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นผู้ประกอบการยังต้องเคารพและปฏิบัติตามอยู่

การจัดทดลองประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการทีวีดิจิตอลทั้ง 24 ช่องที่ผ่านมาทำให้เราพอจะมองเห็นภาพแล้วว่าจะมีผู้ประกอบการรายใดบ้างที่จะเข้าร่วมการประมูลในเดือนกันยายนนี้ ทั้งรายใหญ่และรายเก่าที่เคยประกาศตัวอย่างชัดเจนมาก่อนหน้าว่าประสงค์ที่จะเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลก็ได้มาแสดงตัวในการทดลองการประมูลกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 7 และช่อง 9 หรือผู้ประกอบการที่เราเห็นหน้าคร่าตากันผ่าน Pay TV อย่าง บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการที่นับว่าเป็นรายใหม่ในวงการโทรทัศน์เข้ามาให้ความสนใจและเผยโฉมว่าจะเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย เช่น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด บริษัท ทริปเปิลวี บรอดคาสท์ จำกัด ในเครือหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมทั้งนายแพทย์ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของธุรกิจสายการบินบางกอกแอร์เวย์สด้วย รวมผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมทดลองประมูลช่องประเภทธุรกิจทั้ง 4 ประเภท 24 ช่องแล้วกว่า 40 ราย ซึ่งน่าจะทำให้การประมูลทีวีดิจิตอลที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเร็วๆ นี้มีความคึกคักอย่างยิ่ง

นอกจากนี้การประมูลทีวีดิจิตอลยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเรื่องค่าบริการโครงข่ายทีวีดิจิตอลที่ยังไม่มีการประกาศกำหนดออกมาในขณะนี้ ด้วยเหตุผลที่ กสทช. กล่าวว่าหากมีการกำหนดราคาค่าบริการโครงข่ายตั้งแต่เริ่มต้นอาจทำให้บรรดาผู้ให้บริการโครงข่ายที่ได้รับใบอนุญาตไม่สร้างและพัฒนาโครงข่ายเท่าที่ควร จึงต้องให้ฝ่ายผู้ให้บริการโครงข่ายเป็นผู้เสนอราคาและเสนอแผนในการขยายโครงข่ายต่อ กสท. ก่อน และ กสท. จะประกาศราคาค่าบริการก่อนการประมูล 30 วัน

ในขณะที่ทางฝ่ายผู้ประกอบการที่เข้าจะเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลมีความกังวลถึงราคาและความสามารถในการให้บริการของผู้ให้บริการโครงข่าย เช่น คุณภาพของอุปกรณ์ รวมถึงบุคลากรที่จะดูแล บรรดาผู้ประกอบการจึงต้องการให้ กสทช. เข้ามากำกับเรื่องการคิดค่าบริการเพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบเพราะอาจส่งผลในระยะยาวทำให้การแพร่ภาพไม่ดีเท่าที่ควร

อย่างไรก็ดีในส่วนของราคาค่าบริการหรือคุณภาพของอุปกรณ์รวมทั้งความครอบคลุมของโครงข่ายนั้นคงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เมื่อบรรดาผู้ประกอบที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 4 ใบอนุญาตจากทั้งหมด 6 ใบอนุญาต ได้แก่ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) สถานีโทรทัศน์
ไทยพีบีเอส กองทัพบกและกรมประชาสัมพันธ์นั้น ได้เดินหน้าร่วมมือกันทำความตกลงใช้อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันแล้ว อาทิ อุปกรณ์ส่งสัญญาณ ระบบเชื่อมต่อ เสาอากาศและสถานีฐาน ทั้งนี้เพื่อทำการรวบรวมช่องสัญญาณบนโครงข่ายในระบบโทรทัศน์ทั้งหมดไว้ในที่เดียวกันและส่งสัญญาณพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากเพราะการลงทุนวางโครงข่ายทีวีดิจิตอลในปีแรกนั้นหากต่างฝ่ายต่างทำแล้ว ผู้ให้บริการรายหนึ่งจะต้องเสียเงินไปกับค่าอุปกรณ์ต่างๆ ไปจนถึงค่าที่ดินในการตั้งสถานีฐานไม่ต่ำกว่ารายละ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

ในส่วนของราคาให้บริการโครงข่ายที่ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิตอลต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการโครงข่ายนั้น เบื้องต้นบรรดาผู้ประกอบโครงข่ายทั้ง 4 รายได้ตกลงกันว่าผู้ให้บริการโครงข่ายทุกรายจะคิดราคาค่าใช้บริการในอัตราราคาเดียวกันทั้งหมด ส่วนราคาให้บริการที่แน่นอนจะหาข้อสรุปภายในเดือนกรกฎาคมนี้

กว่าจะถึงการประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจในเดือนกันยายนนี้น่าจะมีข่าวคราวความคืบหน้ารวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ออกมาจากทั้งทางฝั่ง กสทช. และทางฝั่งบรรดาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องนับจากนี้วงการโทรทัศน์ของไทยน่าจะได้เห็นสีสันของการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ